ให้เราลองมองย้อนกลับไปในวัยเด็กดูนะคะ
เชื่อเหลือเกินว่าตัวคุณพ่อคุณแม่หลายท่านต้องเคยผ่านอารมณ์รักและหลงดาราจนหัวปักหัวปำมาก่อน
และถ้าหากวันนึงลูกรักของเราเกิดอาการแบบนี้ขึ้นมาก็เท่ากับว่าเราเลี้ยงลูกมาแบบปกติแล้ว
ไม่ใช่ความผิดอะไรของลูกเลย
เพราะอารมณ์ของมนุษย์นั้นจะรู้สึกผูกพันหลงไหลชอบพอกับสิ่งที่ตนเองปราถนา
โดยเฉพาะถ้าเห็นหน้าตาดีนี่ยิ่งไปกันใหญ่ อย่าดุด่าลูกจนสาดเสียเทเสีย
หรืออย่าห้ามปรามในทางกดดันว่าห้ามดูห้ามฟังเด็ดขาด เด็กๆ
ที่กำลังอยู่ในอาการนี้เค้าจะยิ่งไปกันใหญ่และเค้าจะไม่บอกหรือไม่แสดงพฤติกรรมที่หลงรักคลั่งไคล้ออกมาเลย
นั่นล่ะค่ะน่ากลัว
คุณพ่อคุณแม่ต้องตั้งสติก่อนสตาร์ท ทำความเข้าใจในตัวลูกให้มากๆ ก่อนเป็นอันดับแรก ลองมองย้อนกลับไปในวันที่เราเป็นแบบนี้ด้วย แล้วหันหน้าเข้าหากัน คุยกับลูกอย่างเป็นกันเองและสบายๆ ถึงศิลปินที่เค้าปลื้มนักปลื้มหนา ให้ถามลูกว่าลูกชอบเค้าตรงไหน ชอบอะไรในผลงานเค้า ปล่อยให้ลูกเล่ามาเรื่อย ๆ ฟังและเก็บข้อมูลเอาไว้ ยิ้มแย้มหัวเราะไปกับลูกอย่าไปทำหน้าบึ้งใส่นะคะ หากลูกกลัวไม่ยอมเล่าต่อไม่รู้ด้วย
เพราะเมื่อมีคุณพ่อคุณแม่ที่รับฟังและเข้าใจ ลูกก็อยากเล่าอยากบอกทุกเรื่องที่เค้าประสบพบเจอมา เวลาเค้าจะไปทำกิจกรรมอะไรลูกจะได้ไม่โกหกและปิดบังเพื่อหนีไปดูศิลปินของเค้า และหาข้อดีข้อเสียของศิลปินคนที่ลูกชอบให้ลูกเห็น สอนลูกว่าสิ่งไหนดีที่ควรเอาย่างและสิ่งไหนไม่ดีอย่าทำตาม
ถ้าลูกชวนเราไปในกิจกรรมของศิลปินที่ลูกชอบด้วย อย่าปฏิเสธนะคะ ลองไปกับลูกเลยค่ะ สนุกกันให้เต็มที่ เราก็จะได้รับรู้ด้วยว่าลูกมาทำอะไร เพื่อนของลูกที่มาด้วยกันเป็นแบบไหน เพราะเด็กบางคนติดเพื่อนมากกว่าพ่อแม่ เค้าจะฟังเพื่อนและปรึกษาเพื่อนมากกว่า ซึ่งบางครั้งความคิดเด็กด้วยกันมันก็จะพากันลงเหว
คุยกับลูกอย่างจริงจัง และสอนให้ลูกรู้ถึงความเป็นไปของชีวิต การใช้ชีวิตอยู่ในโลกของความจริงว่าลูกควรพอดีและหยุดที่ตรงไหน พูดคุยแบบเกลี้ยกล่อมลูกนะคะ ไม่ใช่กดดันลูกมากจนเกินไป เชื่อเถิดค่ะว่าถ้าทำได้แบบนี้แล้ว ลูกก็จะผ่านช่วงนาทีคลั่งไคล้กรี๊ดกร้าดไปได้เหมือนที่เราเคยผ่านมาแน่นอนค่ะ